ข่าวประชาสัมพันธ์
กด ดู ที่นี่ + ( ที่รูป ) ... ปฏิบัติธรรม ทุก วินาที ทุก ๆ เวลา ทุก วัน .. สรุป ขั้นตอนการบรรลุ นิพ

-  สรุป ขั้นตอนการบรรลุ นิพพาน   เริ่มจาก ต่ำๆ ไป หาสูงๆ    เริ่มจาก ง่ายๆ ไปหา ยากๆ     ถ้า .. เราทำตรงกันข้าม ก็จะไม่บรรลุง่าย  

  ถ้า ทำได้  ถ้า ทำได้ดีมาก ให้เติม  ๔  ทำได้ดี เติม ๓  ทำได้ปานกลางเติม ๒   ทำได้น้อย เติม ๑  ทำไม่ได้เลย เติม ๐  ลงที่ .... ที่หน้า เลข ๑ – ๘                                                

   ... ๘.  ใช้ปัญญา มาพิจารณา ร่างกาย หรือรูป และใช้ปัญญามาพิจารณาใจ หรือนาม  ทั้งภายนอก ใน ทุกๆเวลา ทุกๆ ที่  จนรู้ว่าทุกๆ อย่าง ว่าเป็นไตรลักษณ์ (ยกเว้นนิพพาน ที่ไม่เป็นไตรลักษณ์ .. นิพพาน จะสุข  เที่ยง)   คือ ล้วนแต่อยู่ภายใต้ ความทุกข์  (ทุกขัง = บีบคั้น   ทรมาน  ทนได้ยาก  แปรปรวน   ตรงกันข้ามกับสุข),   รู้ว่ารูป นาม  อยู่ภายใต้ ความไม่แน่ (อนิจจัง  = ตั้งอยู่ บ้าง  ดับไปบ้าง   เปลี่ยนแปลงบ้าง  ชั่วคราวบ้าง  ขัดแข้งกับความเที่ยงบ้าง),  รู้ว่ารูป นาม  อยู่ภายใต้ การจะ บังคับเอาตามใจ ที่อยาก  ไม่ได้ ( อนัตตา = ว่างเปล่า   จะมีเจ้าของก็มีเพียงเฉพาะแต่ มีแบบ สมมุติเอา    แต่..จะไม่มีเจ้าของในแบบที่แท้จริง (จะมีก็เพียง รูป นาม เท่านั้น  ไม่ใช่ไม่มี   มีอยู่)  จะบังคับเอาตามใจไม่ได้   มีเหตุมีผล  เมื่อมีการกระทำ ก็จะต้อง มีผล   ตรงกันข้ามกับ อัตตา    (อัตตา = จะบังคับเอาตามใจ เมื่อไหร่? ก็ได้) ) ...

    แล้ว ก็ให้พยายามน้อมจิตเข้าไปหา อาสะวักขะยะญาณ  คือญาณที่จะฆ่ากิเลสจนหมด  เพื่อจะได้ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่  จนรู้จัก อริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือ ๑. รู้จักทุกข์ คือ รู้ปัญหา,  ๒. รู้จักสมุทัย คือ รู้ตัณหา สาม , ๓.  รู้จักนิโรธ คือรู้นิพพาน,  ๔.  รู้จักมรรค คือรู้ศีล สมาธิ ปัญญา ...  รู้  ความจริง .. จนปล่อย  วางหมดทุกรูป ทุกนาม วางแบบไม่ต้องถือ  นิพพาน  แต่เวลาปกติก็ทำหน้าที่ดี ๆไป...   

                      หรือ   คือ รู้ในขั้นที่  ๑.   รู้ ว่าอริยสัจจ์ ๔  คืออะไร? ( สัจจะญาณ = รู้ความจริง  เนื้อหา  เรื่องราว )    เช่น ๑.  รู้ใน ทุกข์ ว่า คือปัญหา  ความทุกข์,   ๒.  รู้ใน สมุทั ว่า คือต้นเหตุ  สาเหตุของทุกข์ โดยรู้ว่ามี ความอยากหรือ ตัณหาทั้ง ๓  ที่จะเป็นต้นเหตุ  เป็นสาเหตุของทุกข์  ( ตัณหา ๓  คือมี   ๑.  อยากเกิน ในกาม   ๒.  อยากเกิน ในความมี ความเป็น   ๓.   อยากเกิน ในความไม่อยากมี  ไม่อยากเป็น ),   ๓. รู้ใน นิโรธ คือ ดับทุกข์ ดับตัณหา หรือนิพพาน,  ๔.   รู้ใน มรรคทั้ง ๘  ว่า มีอะไรบ้าง   มีกี่ข้อ  รายละเอียดเป็นอย่าง ไร?   นี่คือรู้ สัจจะญาณ  คือ รู้ว่า อะไร เป็นอะไร ( จะทำอะไร? )

                 รู้ในขั้นที่  ๒.  รู้ ว่าจะทำอย่างไร?  ( กิจจะญาณ = รู้ว่า จะต้องทำอย่างไร ใน ทุกข์   สมุทัย   นิโรธ   ใน มรรค นั้น )   เช่น  ในทุกข์ ก็รู้ว่า จะต้องกำหนดรู้จักทุกข์ให้ได้,      ในสมุทัยก็รู้ว่าจะต้องละตัณหาทั้ง ๓ ให้ได้,   ในนิโรธ  ก็รู้ว่า จะต้องทำนิโรธ หรือ ทำนิพพานให้แจ้งชัดให้ได้,      ในมรรค  ก็ รู้ว่า จะต้องเจริญมรรคให้ได้   นี่ คือรู้ ในขั้น  กิจจะญาณ คือ รู้ว่า เป็นอย่างไร?   จะต้องทำอย่างไร  จะ จะ จะ ต้องทำให้ได้,      ( ขั้น กำลังทำ )

                 รู้ในขั้นที่ ๓ .  รู้ ว่า ทำได้จริง ๆ เสร็จเรียบร้อยทั้งหมด แล้ว ( กะตะญาณ = รู้ว่า ได้ทำสำเร็จ  แล้ว  บรรลุแล้ว )   เช่น  รู้ว่าได้กำหนดรู้ทุกข์ ในเรื่องทุกข์ ๆ  เรียบร้อยแล้ว,   รู้ว่าได้ละตัณหาทั้ง ๓ ในเรื่อง สมุทัย ได้หมดทุกตัวเรียบร้อยแล้ว ,  รู้ว่าได้บรรลุนิพพาน ในเรื่อง นิโรธ เรียบร้อยแล้ว ,   รู้ว่าได้ทำให้ มรรค ๘  เจริญเต็มที่บริบูรณ์ครบในเรื่องมรรค   เรียบร้อยแล้ว,    รวม  ๑๒  อย่าง  ( ปริวัฏฐะ ๓ ( ๓ คูณ ๔ = ๑๒ )  อาการ ๑๒ )          นี่ คือ รู้ในขั้น กะตะญาณ  คือ รู้ว่า ได้ทำสำเร็จแล้ว  บรรลุแล้ว  และวาง วาง  วาง ...     แล้วก็ จะบรรลุ นิพพาน มีความสุข ในปัจจุบันนี้เอง.  ( ทำได้แล้ว )

                              ...  ๗.  ฝึกสมาธิ จนได้ฌาน หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ฌานแปด.. เพื่อ ข่มกิเลสให้นิ่ง เพื่อความสุข                                                                 

                             ...  ๖.   ไปสู่ที่สงบ  สงัด..   อยู่วิเวก ไม่คลุกคลีกันเกินไป    กำจัดนิวรณ์ทั้ง  ๕    มี กาม   โกรธ    ง่วง    ฟุ้ง    สงสัย 

                         ... ๕.  มีสติ ( ระลึกได้ ) ทั้งทางร่างกาย และทางใจ. ตามสติปัฏฐาน ๔ ทางร่างกาย+รูป ทางเวทนา  จิต ทางธรรม  แล้ววาง

                   ... ๔. ให้มีความเพียรเป็นเครื่องตื่น...  ก็ควรจะนอนประมาณ  ๔ ชั่วโมง จาก ๒๔ ชั่วโมง   ยกเว้นป่วย  ที่เหลือก็เพียรละกิเลส

             ... ๓. ให้ประมาณในการกิน+ใช้+บริโภค..คือฉันมื้อเดียว กะว่าเหลืออีกประมาณ ๔- ๕ คำ จะอิ่ม ก็ดื่มน้ำ  จะพอดีกับภาวนาฆ่ากิเลส

          ... ๒. สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ ทวาร มีทางตา ทางหู จมูก ลิ้น ร่างกาย ใจ คือบางครั้งก็ปิด บางครั้งใช้ทุกทางแบบไม่ให้กิเลสมาเกิดได้ง่าย ๆ

เริ่ม ... ๑. มีศีล มีปาฏิโมกข์  ระเบียบ วินัย มีศีล ๕  มีศีล ๘ ของโยม ศีล ๑๐ ของสามเณร  ศีล ๒๒๗  ข้อ ของพระ และมีกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐  ข้อ  

                 ศีล ก็คือการทำหน้าที่ดีๆ ของครู  อาจารย์  ศิษย์ อย่างไม่บกพร่อง  ทำหน้าที่ ที่ ดี ๆ ของพ่อ  แม่  สามี    ภรรยา  ลูก  อุบาสก   อุบาสิกา  เจ้านาย  ลูกน้อง  นักบริหาร นักบวช  ราชการ พ่อค้า  เกษตรกร นักเรียน นักพัฒนา  ลูกจ้าง การทำตามข้อวัตร เช่น วัตร ๑๔  ให้ดี  สมบูรณ์ ไม่บกพร่อง,  ศีล คือการควบคุมร่างกาย และวาจาให้ถูกต้อง เรียบร้อย เป็นปกติ ตามพระปาฏิโมกข์ และนอกนั้นอีก ไม่เบียดเบียนตัวเอง ผู้อื่น สัตว์อื่น

เริ่ม.. มีศีล à สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ  ตา  หู   จมูก  ลิ้น  ร่างกายที่สัมผัส  และทางใจ  à ประมาณในการบริโภค  à มีความเพียรอยู่ด้วยการตื่นเสมอ นอนน้อย à มีสติ ทั้งทางร่างกาย  เวทนา  จิต  ธรรม   à  ไปหาที่สงบ-สงัด ที่ส่วนตัว  พยายามแก้.. ชำระนิวรณ์ทั้ง ๕  ก่อน  คือ  แก้. ความอยาก   แก้..ความพยาบาท โกรธ   แก้..ความท้อแท้  ถดทอยต่องานกรรมฐาน    แก้..ความ ฟุ้งซ่าน+รำคาญ    แก้..ความลังเล+สงสัย จนไม่ยอมลงมือทำดี   ละชั่ว   à  เลือกฝึกสมาธิ จาก ๔๐ วิธี     จนได้สมาธิ + ฌาน  ๑ - ๔  à  ใช้ปัญญา มาพิจารณา  รูป  นาม  ขันธ์ทั้ง ๕ คือ .. รูป = รูป - เวทนา+สัญญา+สังขาร+วิญญาณ = นาม,  อายตนะ  ๑๒ ฯลฯ   ๆๆ  จนเห็น ๆ  อนิจจัง ๆ  ทุกขังๆ อนัตตา.ๆ    สำเร็จ.....    นิพพาน  บรมสุข  สบายๆๆ    จาก คณกโมคคัลลานะสูตร  และ ฉวิโสธะนะสูตร  ในมัชฌมนิกาย  อุป. ๒๒/๙๓,๑๖๖/๑๔๓,๒๑๓  ( เล่ม../ข้อ.../หน้า...)  เปิดอ่านดูได้   { ในบางสูตร เช่น ใน เสขะปฏิปทาสูตร  มัช. ม.  เล่ม ๒๐/๒๔/๔๓  ชุด ๙๑ เล่ม   ที่พระพุทธเจ้า บอกให้พระอานนท์แสดง บอก  เทศน์เรื่อง เสขะปฏิปทา  (คือ เรื่องที่เกี่ยวกับพระโสดาบัน   พระสกิทาคามี  พระอนาคามี ว่า ควรจะ ภาวนา จะทำอย่างไร  จะอยู่  คิด  ทำ อย่างไร จึงจะบรรลุ อรหันต์คือเสร็จกิจที่จะต้องทำ) ให้มหานามะ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเมืองพ่อ เมืองแม่ของพุทโธ และของพระอานนท์ฟัง     พระอานนท์ได้แสดงธรรมให้พระญาติฟังว่า การภาวนาเพื่อจะเป็นอรหันต์นั้น จะเริ่มจากในข้อที่ ๑  ๒  ๓  ถึงข้อ ๔  เหมือน ๆ ข้างบน    แต่..  หลังจากนั้นได้เพิ่ม  สัปปุริธรรม ๗    ( คือข้อปฏิบัติของคนดี   อันประกอบด้วย   ๑. ศรัทธา   ๒.  หิริ    ๓. โอตตับปะ   ๔.  พหูสูต    ๕.  วิริยะ    ๖.  สติ    ๗. ปัญญา ..   (ข้อที่ ๕ - ๑๑)   ซึ่งในบางครั้ง ทางวัดป่า วัดที่ฝึกสมถกรรมฐาน  ที่ฝึกกรรมฐาน ก็ใช้ธรรม เหล่านี้มาก  จากการฟัง การดู  การภาวนา  การทำตามครูบาอาจารย์ ฯลฯ )  เข้ามาแทนในข้อที่ ๕  และ ข้อที่ ๖   ส่วนในข้อที่  ๑๒ ก็จะเหมือนกับข้อที่ ๗  เพียงแต่เพิ่มว่า ได้วิชชา ๓  (คือรู้อดีต + รู้อนาคต)  เข้ามาในช่วงหลังจากที่ได้ฌานสี่แล้ว เท่านั้น  และในข้อที่  ๑๓ นั้น จะคล้ายๆ กันกับข้อที่ ๘  จากข้างบนนี้  จนกระทั่ง ถึงอรหันต์   บรรลุนิพพาน}

  

     จงมีสุข  พ้นทุกข์ บรรลุนิพพาน บรมสุข  เร็วๆ ไวๆ เทอญ ..  จากวัดป่าดงใหญ่  หมู่ ๒   บ. แดงหม้อ ต. แดงหม้อ  อ. เขื่องใน  จ. อุบลฯ  ๓๔๑๕๐  อีเมล   wadpadongyai@gmail.com   วันที่ ๒๖/๑๒/๕๑  เวลา  ๐๗:๓๒ น.       

                                                โดย พระประสิทธิ์   ( แววศรี)   ฐานะธัมโม       เกิด  ๒๘  ส.ค. ๑๑   จบ ค.อ.บ. วิศวกรรมเครื่องกล  เกียรตินิยม  ส.จ.พ.  ก.ท.ม.   บวช  ๒  ส.ค.  ๓๖     อ่านจบ  ๓ รอบพระไตรปิฎก      (จบ ... ๑๕ ก.ค. ๓๙ ... เข้าใจธัม) 

  ชื่อ.............................ชื่อเล่น...................ฉายา/นามสกุล  .....................................  วันเกิด ว/ด/ป......................  กรอกเมื่อ  ว/ด/ป.....................คำขวัญประจำใจ............................

 

 

                                                

 

Word Document ดาวน์โหลดไฟล์   ขนาดไฟล์ 78 KB
โพสเมื่อ : 01 ต.ค. 2556,19:49   อ่าน 1151 ครั้ง